วิธีสมัครประกันสังคม มาตรา 40
การประกันสังคม คือการสร้างหลักประกันในการดำเนินชีวิตในกลุ่มของสมาชิกที่เข้าร่วมโครงการ
โดยสมาชิกที่เรียกว่าผู้ประกันตนต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมเพื่อรับผิดชอบในการเฉลี่ยความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเจ็บป่วย
คลอดบุตร ทุพพลภาพ ตาย สงเคราะห์บุตร ชราภาพ และว่างงาน
เพื่อให้ได้รับการรักษาพยาบาลและมีการทดแทนรายได้อย่างต่อเนื่อง
ตามกฎหมายประกันสังคมได้แบ่งผู้ประกันเป็น 3 มาตราดังนี้
1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือลูกจ้างซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์และไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ลาออกจากงาน ลูกจ้างยังคงได้รับความคุ้มครอง 4 กรณี คือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และตาย จากการประกันสังคมต่อไปอีก 6 เดือน
2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ บุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และความเป็นลูกจ้างสิ้นสุดลง แต่ประสงค์จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมต่อเอง ซึ่งมีเงื่อนไขในการสมัครดังนี้
- ต้องเคยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
- ต้องมายื่นคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ด้วยตนเอง ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ลาออก
3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ ประชาชนทั่วไปที่ประสงค์เข้าสู่ระบบการประกันสังคม โดยยื่นใบสมัครด้วยตนเอง ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด จะได้รับการคุ้มครองเพียง 3 กรณีเท่านั้น คือ กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ และกรณีตาย โดยผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
1. ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 คือลูกจ้างซึ่งมีอายุไม่ต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์และไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์ ผู้ประกันตนที่เป็นลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ลาออกจากงาน ลูกจ้างยังคงได้รับความคุ้มครอง 4 กรณี คือ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ คลอดบุตร และตาย จากการประกันสังคมต่อไปอีก 6 เดือน
2. ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 คือ บุคคลที่เคยเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และความเป็นลูกจ้างสิ้นสุดลง แต่ประสงค์จะส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมต่อเอง ซึ่งมีเงื่อนไขในการสมัครดังนี้
- ต้องเคยจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน
- ต้องมายื่นคำขอเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ด้วยตนเอง ภายในระยะเวลา 6 เดือนนับแต่วันที่ลาออก
3. ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 คือ ประชาชนทั่วไปที่ประสงค์เข้าสู่ระบบการประกันสังคม โดยยื่นใบสมัครด้วยตนเอง ณ สำนักงานประกันสังคมจังหวัด จะได้รับการคุ้มครองเพียง 3 กรณีเท่านั้น คือ กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ และกรณีตาย โดยผู้สมัครต้องมีคุณสมบัติดังนี้
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
- ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39- ไม่เป็นผู้ทุพพลภาพ
- ไม่เป็นวัณโรคในระยะอันตราย
โรคพิษสุราเรื้อรัง และโรคซึ่งอยู่ในระหว่างการรักษาและอยู่ในสภาพใช้เครื่องช่วยชีวิต
จากที่เกริ่นนำถึงความหมายการประกันสังคมและผู้ประกันตนตามมาตราต่างๆ
ต่อไปจะกล่าวถึงวิธีสมัครประกันสังคม มาตรา 40 สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานกับสถานประกอบการ
หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระทุกสาขาอาชีพสามารถเป็นผู้ประกันตนกับทางสำนักงานประกันสังคมได้
ซึ่งมีขั้นตอนดังต่อไปนี้
คุณสมบัติในการสมัคร
1. ต้องเป็นผู้ที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์ และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์
2. ไม่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 และ ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ มาตรา 39
สิทธิประโยชน์พื้นฐาน
1.
เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อเจ็บป่วย เมื่อนอนโรงพยาบาลเป็นผู้ป่วยในตั้งแต่
2 วันขึ้นไป จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน
200 บาทต่อวัน ไม่เกิน 20 วันต่อปี เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 3 เดือน ภายในระยะเวลา 4 เดือน
2.
เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ รับเงินทดแทนการขาดรายได้จำนวน 500 - 1,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลานานถึง 15 ปี เงื่อนไข เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือนขึ้นไป
3.
เงินค่าทำศพ (เสียชีวิต) จะได้รับค่าทำศพจำนวน 20,000 บาทต่อราย เงื่อนไข จ่ายเงินสมทบครบ 6 เดือน ภายในระยะเวลา 12 เดือน
4.
เงินบำเหน็จชราภาพ ผู้ประกันตนสามารถรับเงินก้อน เมื่ออายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ เงื่อนไข มีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
ทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณ
เพื่อสิทธิประโยชน์ดังกล่าว
สำนักงานประกันสังคมขอเสนอทางเลือกที่คุ้มค่าสำหรับคุณด้วยชุดสิทธิประโยชน์ ดังนี้
ชุดสิทธิประโยชน์ 1
สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง
3 กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ
เงินสมทบที่จ่าย
ผู้ประกันตนนำส่งเงินสมทบเดือนละ
100 บาทต่อเดือน หรือวันละประมาณ 3 บาท *ในระยะแรกรัฐบาลมีนโยบายอุดหนุนให้ 30 บาท และ ผู้ประกันตนจ่าย 70 บาท
ชุดสิทธิประโยชน์ 2
สิทธิประโยชน์พื้นฐานคุ้มครอง 4 กรณี คือ เงินทดแทนการขาดรายได้เมื่อเจ็บป่วย เงินทดแทนการขาดรายได้ เมื่อทุพพลภาพ เงินค่าทำศพ เงินบำเหน็จชราภาพ
(เงินออมกรณีชราภาพ)
จ่ายเงินสมทบ
ผู้ประกันตนนำส่งเงินสมทบเดือนละ
150 บาทต่อเดือน หรือวันละประมาณ 5 บาท *ในระยะแรกรัฐบาลมีนโยบายอุดหนุนให้ 50 บาท และ ผู้ประกันตนจ่าย 100 บาท
***ทั้งนี้ผู้ประกันตนที่ประสงค์รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น สามารถจ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมได้ไม่เกินเดือนละ 1,000 บาทต่อเดือน
หมายเหตุ ทั้งนี้ ในการจ่ายเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา
40 จ่ายเป็นรายเดือน ๆ ละ 1 ครั้ง และจ่ายเงินสมทบล่วงหน้าได้
ครั้งละไม่เกิน 12 เดือน
แต่ไม่สามารถจ่ายเงินสมทบย้อนหลังได้
วิธีการนำส่งเงินสมทบ
1.
ผู้ประกันตนตามมาตรา 40 สามารถนำส่งเงินสมทบได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา
ที่ท่านสะดวก
2.
จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-ELEVEN ได้ทุกสาขา ไม่เฉพาะเคาน์เตอร์เซอร์วิส 7-ELEVEN เท่านั้น แต่สามารถชำระได้ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสอื่นๆ ได้ทั่วประเทศ โดยมีค่าธรรมเนียม
10 บาทต่อครั้ง
3.
ชำระได้ที่เคาน์เตอร์ของธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดยมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 กันยายน 2554 เป็นต้นไป
หมายเหตุ การชำระเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสจะเสียค่าธรรมเนียมครั้งละ 10 บาท ในส่วนการชำระผ่านธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
จะมีค่าธรรมเนียม 5 บาทต่อครั้ง โดยจะได้รับใบเสร็จรับเงินทันที แต่ผู้ประกันตนต้องนำใบเสร็จรับเงินที่เคาน์เตอร์เซอร์วิสที่ออกให้ พร้อมสมุดนำส่งเงินสมทบมาตรา 40 ไปติดต่อที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา เพื่อให้ทางเจ้าหน้าที่ทำการประทับตราในสมุดนำส่งเงินสมทบ เนื่องจากต้องใช้ประกอบการยื่นเรื่องเมื่อมีการรับสิทธิประโยชน์ต่าง
ๆ
เอกสารประกอบการสมัคร
1. แบบการขึ้นทะเบียนการเป็นผู้ประกันตน มาตรา 40 (สปส.1-40)
2. บัตรประจำตัวประชาชนตัวจริงหรือบัตรอื่นที่ทางราชการออกให้
พร้อมสำเนา
สถานที่ในการขึ้นทะเบียน
1. สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา
2. หน่วยบริการเคลื่อนที่
3. สมัครผ่านตัวแทน (เจ้าหน้าที่ประกันสังคม)
หมายเหตุ
ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมที่/จังหวัด/สาขา
ได้มีการออกหน่วยบริการเคลื่อนที่เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ที่สนใจสมัครมาตรา 40 โดยสามารถกรอกแบบฟอร์มสมัครผ่านเจ้าหน้าที่/ตัวแทน แต่ยังไม่มีการเก็บเงินสมทบ
ทั้งนี้ในการเก็บเงินสมทบจะเริ่มเก็บในเดือน พฤษภาคม 2554 หรือสามารถติดต่อขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนได้ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่/จังหวัด/สาขา
ดังนั้นจึงขอให้ผู้ที่ไม่ได้ทำงานกับสถานประกอบการ
หรือผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระทุกสาขาอาชีพมั่นใจได้ว่า
ยังสามารถเป็นผู้ประกันตนกับทางสำนักงานประกันสังคมได้
โดยได้รับสิทธิประโยชน์สอดคล้องกับจำนวนเงินสมทบที่ส่งและให้ผู้ประกันตนสามารถมีชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ทีมา: สิทธิประโยชน์ของผู้ประกันตนมาตรา 40 จากสำนักงานประกันสังคม