บ้านเดิมเจ้า

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประกันภัย ข้าวนาปี 2555 ทางเลือกชาวนาไทย


อนุมัติวงเงิน 555 ล้าน หนุนเบี้ยประกันภัย ข้าวนาปี 2555
RecommendPrint
โครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555
คณะรัฐมนตรีเห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้
1. เห็นชอบโครงการประกันภัยข้าวนาปี ปีการผลิต 2555 และอนุมัติวงเงินงบประมาณจำนวน 555,760,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย
2. ให้ ธ.ก.ส. ทดรองจ่ายเงินอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยแทนรัฐบาลตามข้อ 1 และเบิกเงินชดเชยตามจำนวนที่จ่ายจริงพร้อมด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือน ประเภทบุคคลธรรมดาของ 4 ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ (FDR) + 1.3% ในปีงบประมาณถัดไป
3. ให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจัดส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ ธ.ก.ส. ประกอบด้วย ข้อมูลการขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าว และข้อมูลการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ประสบภัยของรัฐรายบุคคลที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติอำเภอ (ก.ช.ภ.อ.) แล้ว เพื่อความรวดเร็วในการจ่ายสินไหมทดแทน
สาระสำคัญของเรื่อง
กระทรวงการคลัง โดย สศค. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัย พิจารณาแล้วเห็นควรให้กองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ ที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชกำหนดกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติ พ.ศ.2555 ทำหน้าที่รับประกันภัยต่อแทนบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศ เพื่อประโยชน์ในการกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยให้มีความเหมาะสมกว่าอัตราตลาด การที่บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศเสนออัตราเบี้ยประกันภัยที่ 210 บาทต่อไร่ (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและอากรแสตมป์) มีความเป็นไปได้ว่าบริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศคำนวณอัตราเบี้ยประกันภัยบนพื้นฐานการประเมินความเสี่ยงของประเทศไทยที่สูงเกินไป นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อนคลายเงื่อนไขเพิ่มเติมที่บริษัทรับประกันภัยต่อในต่างประเทศกำหนด เช่น จำนวนไร่ที่ เอาประกันภัยขั้นต่ำ เป็นต้น หลักการและรายละเอียดที่สำคัญสรุปได้ ดังนี้
หลักการ
(1) กำหนดอัตราเบี้ยประกันภัย 120 บาทต่อไร่ (ไม่รวมอากรแสตมป์และภาษีมูลค่าเพิ่ม) อัตราเบี้ยประกันภัยสุทธิเท่ากับ 129.47 บาทต่อไร่ เท่ากับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา วงเงินความคุ้มครอง 1,111 บาทต่อไร่ ตลอดช่วงการเพาะปลูก สำหรับภัยธรรมชาติทั้งหมด 6 ภัย ได้แก่ อุทกภัย ฝนทิ้งช่วง ลมพายุ อากาศหนาว ลูกเห็บ และอัคคีภัย และขยายเพิ่มเติมความคุ้มครองรวมถึงภัยศัตรูพืชและโรคระบาด โดยมีวงเงินความคุ้มครอง 555 บาทต่อไร่
(2) เกษตรกรผู้เอาประกันภัยที่เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อพื้นที่เพาะปลูกได้รับความเสียหาย (ใช้เกณฑ์การประเมินความเสียหายที่รัฐดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน) เพิ่มเติมจากเดิมที่จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินทดรองราชการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน พ.ศ. 2546 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ส่วนเกษตรกรที่ไม่ได้เข้าร่วมโครงการฯ จะได้รับเฉพาะเงินช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น
(3) กำหนดจำนวนไร่ที่เอาประกันภัยสูงสุดไม่เกิน 8 ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกข้าวทั้งหมดของประเทศโดยเฉลี่ยในช่วงปี พ.ศ. 2547-2554 จำนวน 57.47 ล้านไร่ เป็นระดับที่เหมาะสม และอยู่ในวิสัยที่จะปฏิบัติได้ เนื่องจากการตัดสินใจทำประกันภัยหรือไม่เป็นความสมัครใจของเกษตรกร และกองทุนส่งเสริมการประกันภัยพิบัติสามารถรองรับความเสียหายในกรณีที่ร้ายแรงที่สุด (Worst case scenario) ได้
(4) ธ.ก.ส. เป็นผู้บริหารโครงการ โดยเป็นตัวกลางระหว่างเกษตรกรผู้เอาประกันภัยและบริษัทผู้รับประกันภัย เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปีที่ผ่านมา
แรงจูงใจสำหรับเกษตรกรให้เข้าร่วมโครงการประกันภัยข้าวนาปี
รัฐยังมีความจำเป็นต้องอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัย โดยเห็นควรให้เกษตรกรรับภาระค่าเบี้ยประกันภัย 60 บาทต่อไร่ เช่นเดียวกับการดำเนินโครงการฯ ในปี 2554 และรัฐอุดหนุนค่าเบี้ยประกันภัยในส่วนที่เกินกว่า 60 บาทต่อไร่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น